Monday, December 26, 2016

น้ำพุร้อนสมอทอง


อัญชัญ ชาวป่า...เรื่องและภาพ 
ผลงานรางวัลชนะเลิศ YOUTH BLOGGERS จากคอลัมน์เยาวชนตากล้องท่องเที่ยวไทย 
ตีพิมพ์ครั้งแรกในอนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙
  

 'น้ำพุร้อนสมอทอง' เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ซึ่งทุกๆปี ครอบครัวของฉันจะมาเที่ยวที่นี่ เพื่อมาแช่น้ำอุ่นคลายหนาวในช่วงปีใหม่ การมาแช่น้ำอุ่นจึงเป็นเหมือนสปาธรรมชาติเล็ก ๆ ที่สามารถช่วยบรรเทารักษาโรคต่าง ๆ ได้ เพราะน้ำพุร้อนสมอทองเป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติ ที่ผุดขึ้นมาจากผิวดิน มีความร้อนประมาณ ๖๐-๖๕ องศาเซลเซียส และยังเป็นน้ำพุร้อนที่มีผืนน้ำล้อมรอบแห่งเดียวในประเทศไทย โดยตั้งอยู่ที่ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี อยู่ในโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว และยังถือเป็นสปาธรรมชาติแบบไทยๆแห่งหนึ่งที่สามารถแช่น้ำอุ่น ๆ และมองเห็นวิวสวยๆ จากทิวเขาโดยรอบ รวมถึงธรรมชาติที่สวยงามจากอ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้วอีกด้วย


เอกลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเมื่อมาถึงที่นี่คือพระพุทธรูปองค์โต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปพุทโธสีทอง ในยามที่แสงแดดส่องมาในยามเช้าจะเป็นสีเหลืองทองอร่ามอย่างงดงาม และมีความสูงถึง ๒๐ เมตร พ่อกับแม่เคยเล่าให้ฉันฟังว่าแต่เดิมพระพุทธรูปได้ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาสูง ซึ่งต้องใช้เวลาเดินขึ้นบันไดไปกว่าจะถึงองค์พระพุทธรูป แต่ปัจจุบันได้ปรับปรุงพื้นที่ใหม่ให้เหมาะสมกับทัศนียภาพของพื้นที่โดยรอบ พระพุทธรูปพุทโธจึงได้ประดิษฐานอยู่ตรงกลางพื้นที่อย่างโดดเด่น และยังเป็นที่เลื่อมใสและน่านับถือของชาวห้วยคตมาอย่างยาวนานอีกด้วย

ทุก ๆ ปีที่ฉันได้มาที่นี่ ในช่วงฤดูหนาว สิ่งพลาดไม่ได้คือการได้มานั่งแช่น้ำอุ่นกับครอบครัว ซึ่งสร้างความสนุกสนาน และความอบอุ่นในครอบครัวได้ไม่น้อย หรือจะเป็นการแช่น้ำอุ่นส่วนตัวในห้องก็ตาม สร้างความผ่อนคลายได้ไม่แพ้กัน นอกจากนี้แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่ฉันชอบและพลาดไม่ได้เมื่อมาถึงที่น้ำพุร้อนสมอทอง คือการปั่นจักรยานเล่นกับน้องรอบ ๆ ลานน้ำพุ เพราะนอกจากจะสนุกแล้วยังได้ชมวิวที่สวยงามไปในตัวอีกด้วย บางครั้งญาติของฉันที่มาจากกรุงเทพจะไปตกปลาบริเวณจุดตกปลา ฉันกับน้องก็จะตามไปดู และเมื่อพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เราจะปั่นจักรยานกลับมาที่จุดกางเต็นท์ ซึ่งเป็นลานกว้างริมน้ำที่ปูด้วยหญ้าสีเขียว และมีลมพัดเย็นสบาย


ในปีก่อนๆฉันเคยเอาการบ้านมาทำที่นี่ บางครั้งก็เตรียมกระดาษมานั่งวาดรูปด้วย แต่หลังๆมานี้ ฉันคิดว่าการมาเที่ยวคือการพักผ่อน ฉันจึงปล่อยวางและจัดเวลาชีวิตใหม่สำหรับการทำสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสม เมื่อพระอาทิตย์กำลังจะตกดินในยามเย็น ฉันกับน้องจะมาช่วยกันกางเต็นท์ทุกเต็นท์ที่เตรียมมา และหลังจากนั้นเราจะช่วยพ่อกับแม่ทำอาหารเย็น

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยังจำได้ดีเสมอ ในวันปีใหม่เมื่อสองปีที่ผ่านมาคือ ในวันนั้น ฉันตื่นแต่เช้าตรู่และโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์ แต่ภาพตรงหน้าที่ฉันเห็นกลับทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังหลับอยู่และฝันไป ฉันเห็นท้องฟ้าที่สวยงามราวกับภาพวาด ที่สะท้อนลงมาบนผืนน้ำ และมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เล็กๆที่กำลังโผล่ขึ้นมาทักทายฉันในยามเช้า ลมพัดเบาๆที่ลอยมาปะทะใบหน้า ทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นและเป็นตัวของตัวเองทุกครั้ง ที่แห่งนี้ ไม่ได้แค่เพียงทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น แต่ยังทำให้ครอบครัวของเราได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ถึงจะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เราได้ลืมเรื่องร้ายๆไปได้



ฉันจึงคิดว่าที่แห่งนี้เหมาะสำหรับครอบครัว ที่ต้องการมาพักผ่อน เพราะนอกจากจะได้แช่น้ำอุ่นด้วยบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แวดล้อมไปด้วยภูเขาและผืนน้ำที่มองได้ไกลสุดสายตาแล้ว ยังได้ทำกิจกรรมอื่นๆ กับครอบครัวได้อย่างมีความสุข 

น้ำพุร้อนสมอทองจึงเป็นสถานที่ ที่สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ ที่เหมาะสำหรับการมาแช่น้ำอุ่นในสระริมน้ำ และชมวิวหมอกรอบ ๆ หรือจะเป็นการกางเต็นท์พักแรมเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าของวันใหม่ก็ดีไม่น้อย

 นางสาวอัญชัน ชาวป่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

Thursday, December 1, 2016

รักน่านไปนาน ๆ นะเออ


เรื่องและภาพโดย นางสาวกันตา ตันกุระ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนปัว จังหวัดน่าน
สารคดีจากโครงการอบรมเยาวชน YOUTH BLOGGERS รุ่นที่ ๘

          สวัสดีค่ะ ต้องบอกเลยว่านี่เป็นการตั้งอัลบั้มเชิงท่องเที่ยวครั้งแรกของเรา 

เริ่มจากการที่เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรม Youth Bloggers แล้วโครงการก็มีกิจกรรมให้ได้ร่วมสนุก นั่นคือการนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณข่วงเมืองน่าน ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากกกกก 5555

ที่ท้าทายก็เพราะว่าบริเวณข่วงมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะ และแต่ละที่มีจุดเด่นที่ต่างกัน ดังนั้นทำให้เราตัดสินใจยากนิดนึง อารมณ์ประมาณรักพี่เสียดายน้อง สุดท้ายเราจึงเลือก "วัดภูมินทร์" สถานที่ซึ่งหากใครมาน่านแล้วไม่ได้แวะ ถือว่ายังมาไม่ถึง

            ในตอนที่เราไปเที่ยวนั่น เป็นตอนบ่าย แดดนี่เปรี้ยง แต่ก็มีลมโชยมาเป็นระยะ สามารถเดินทอดน่อง ชิล ๆ ได้สบายเลย โดยปกติแล้วตามประสาเด็กน่านก็จะคิดว่าเป็นแค่วัดแหละ ไม่เห็นจะมีอะไร

แต่ขอบอกเลยว่าคิดผิด นั่นก็เพราะว่านอกจากวัดภูมินทร์จะเป็นวัด เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นสวยงาม (ถึงขนาดรัฐบาลไทยสมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เคยนำรูปไปตีพิมพ์บนธนบัตรใบละ ๑ บาทมาแล้ว)  มีภาพกระซิบรักบันลือโลก (ปู่ม่าน ย่าม่าน) มีพระประธานจตุรทิศ มี มี มี...   โอ๊ย ย ย มีเยอะจนบอกไม่หมดแล้วพี่บัวลอย

บอกได้คำเดียวว่าที่เราพูดมาเป็นอะไรที่พื้นมาก เด็ก ป . ๓ ยังรู้เลย

ฉะนั้น...วันนี้จึงอยากจะพาทุกคนไปทัวร์วัดภูมินทร์ในแง่มุมใหม่ๆของเราบ้าง หลายๆคนอาจจะไม่ค่อยแปลกใจ แต่เราแปลกใจ ฮ่า ๆ แบบโอ้โฮ สวยได้อีก งั้นมาดูกันเลย...Let's go


 โดยปกติแล้วทุกคนคงจะเห็นรูปด้านหน้าตรง ๆ ของวัดภูมินทร์บ่อยแล้ว เราเลยมีความคิดว่าเอามุมใหม่บ้างดีกว่า จึงได้รูปนี้มา แสงกำลังดีเลย ฮี่ ๆ อย่างที่ทราบมาแล้วว่าวัดภูมินทร์เป็นวิหารจัตุรมุข อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหาร และพระเจดีย์ประธาน ตั้งอยู่บนหลังพญานาค ๒ ตัว มีประตูทั้งสี่ทิศ ซึ่งถือว่าเป็นUnseen เหนือ Unseen เพราะมีแห่งเดียวในประเทศไทย สถาปัตยกรรมยังมีกลิ่นอายของความเป็นล้านนา แบบวิถีคนน่าน มองเมื่อไหร่ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ 


ต่อมาขอนำเสนอภายในวัดบ้าง ขอบอกว่าพระประธานสวยจริง ๆ เพราะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ ๔ องค์ หันหน้าออกไปทางประตูทั้งสี่ทิศ เมื่อมองไปยังพระพักตร์ จะเห็นเหมือนกับว่าท่านกำลังยิ้มอวยพรให้เรา ต้องขอนำเสนอหลาย ๆ มุม เพราะอยากให้ทุกคนได้เห็นความงดงามของพระพุทธรูป ถ้ามีโอกาสมาเยี่ยมชม จะพบว่าเมื่อเดินรอบ ๆ วัด แล้วดูมองเข้ามาภายในวิหาร จะเจอพระพุทธรูปเสมอ 

ถัดมาเป็นภาพส่วนหนึ่งของจิตรกรรมฝาผนังของวัดภูมินทร์ สาเหตุที่เราไม่เลือกภาพกระซิบรักนั่นก็เพราะว่าสามารถหาดูได้ง่าย ในขณะที่จิตรกรรมในวัดส่วนอื่น ๆ ที่มีความงามและคุณค่าไม่ต่างกันนั้น ยังไม่ได้ถูกเผยแพร่สู่สายตาของคนอื่น ๆ มากนัก อยากให้ทุกคนมาชมภาพที่วัดเลย เพราะในทุก ๆ ด้านของผนังวิหารได้บอกเล่าเรื่องราว ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติของจังหวัดน่านในอดีตไว้ได้อย่างงดงาม ผ่านภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง 


เดินดูรอบวัดแล้วพบว่า ข้าง ๆ วิหารมีสถาปัตยกรรมที่เดินผ่านแล้วอาจจะไม่ค่อยเตะตาสักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าใครมีโอกาสได้ไป ลองแวะเข้าไปดูสถูปเจดีย์พระมาลัยโปรดโลก ภายในเป็นรูปปูนปั้นจำลองนรกสำหรับคนที่ทำบาปว่าจะได้รับผลกรรมเช่นไร เพื่อเป็นการย้ำเตือนใจให้เรารู้สึกเกรงกลัว ละอายต่อการทำสิ่งที่ไม่ดี 

เนื่องจากความสวยงามไม่สามารถเล่าผ่านภาพได้แบบจุใจ จึงอยากขอเรียนเชิญทุกท่านมาเที่ยว มาเยี่ยมชมเมืองน่าน เพราะความงดงามของน่านนครยังไม่หมดเพียงเท่านี้

มาแล้วคุณจะหลงรักเมืองน่าน เมืองที่ห้อมล้อมไปด้วยทรัพยากร เมืองแห่งอารยธรรม

เมืองที่คุณจะรู้สึกว่าเป็นคนในครอบครัวมากกว่านักท่องเที่ยว
 
 YOUTH BLOGGERS รุ่นที่ ๘ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน

Tuesday, November 29, 2016

โครงการอบรมเยาวชน YOUTH BLOGGERS รุ่นที่ ๘

         


          อนุสาร อ.ส.ท. ร่วมกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดโครงการอบรมเยาวชน YOUTH BLOGGERS  รุ่นที่ ๘ ขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๙ –๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา  ณ ห้องเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ  ศาลากลางจังหวัดน่าน โดยมีนายนรินทร์ เหล่าอารยะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน เป็นประธานเปิดการอบรม พร้อมด้วยนายเกรียงศักดิ์ เจดีย์แปง ประชาสัมพันธ์จังหวัดน่าน นางฤดีมาศ ปางพุทธิพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสังคมและแผนงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้เกียรติเข้าร่วมในพิธี


การอบรมในครั้งนี้มีนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกจาก ๑๑ โรงเรียนของอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดน่านร่วมกิจกรรม ได้แก่ โรงเรียนน่านนคร โรงเรียนปัว โรงเรียนบ้านห้วยฟอง โรงเรียนท่าวังผาวิทยาคม โรงเรียนไตรเขตประชาสามัคคี วิทยาลัยการอาชีพปัว โรงเรียนตาลชุมพิทยาคม โรงเรียนน่านคริสเตียนศึกษา โรงเรียนน่านประชาอุทิศ โรงเรียนศรัทธาศิลาเพชรรังสรรค์ และโรงเรียนแม่จริม รวมทั้งสิ้น ๔๐คน



อบรมภาคทฤษฏีในช่วงเช้าของวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน โดยนายภาคภูมิ น้อยวัฒน์ บรรณาธิการฝ่ายภาพ อนุสาร อ.ส.ท.เป็นวิทยากร สอนการเขียนและการถ่ายภาพสารคดีท่องเที่ยว ก่อนที่ในช่วงบ่ายจะลงฝึกภาคปฏิบัติในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวในเขตข่วงเมืองน่าน ได้แก่ วัดภูมินทร์ วัดพระธาตุช้างค้ำ วัดหัวข่วง ลานในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน  และแปลงสาธิตโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งตั้งอยุ๋ที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง บ้านดงป่าสัก อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน จากนั้นในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ผู้เข้าอบรมฝึกการเขียนสารคดีสั้นพร้อมคัดเลือกภาพนำเสนอผ่านทางเครือข่ายชุมชนออนไลน์ โดยมีการจัดประกวดผลงานภายในกลุ่มผู้เข้าอบรมและมอบโล่รางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศในประเภทต่าง ๆ  ได้แก่ ประเภทเนื้อหาดีเด่น ประเภทภาพถ่ายดีเด่น และประเภทนำเสนอดีเด่นด้วย



ติดตามชมภาพถ่ายกิจกรรมและผลงานของเยาวชน YOUTH BLOGGERS ได้ที่ อนุสาร อ.ส.ท. ในคอลัมน์ “เยาวชนตากล้องท่องเที่ยวไทย” และทางออนไลน์ที่กลุ่ม www.facebook.com/groups/osothoYB และ แฟนเพจ www.facebook.com/youthbloggers

Wednesday, September 21, 2016

จักรยานคันนี้จอดอยู่ที่ "ซอยหมอ"


     
           ธนาวัฒน์ ...เรื่องและภาพ

            จักรยานคันนี้จอดอยู่ที่ ซอยหมอ หรือที่เราเรียกกันว่า ซอยพานิช อยู่ในตัวเมืองฉะเชิงเทรา อายุจักรยานประมาณ ๔๐-๕๐ ปี เป็นจักรยานที่นำเข้าจากประเทศอังกฤษ ซึ่งมีคนนำจักรยานคันนี้มาขายให้กับลุงคนที่รับซื้อของเก่า เเละจักรยานคันนี้อยู่มาตั้งเเต่สมัยก๋งของลุงคนนี้ ตอนยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัย จอมพลป.พิบูลสงคราม

             จักรยานคันนี้มีชื่อว่า ราเล่ย์ ๒๘ ชาย  ผลิตขึ้นโดยบริษัทราเล่ย์ไบซิเคิล ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ที่เมืองน็อตติ้งแฮม ประเทศอังกฤษ เป็นหนึ่งในบริษัทที่ผลิตจักรยานเก่าแก่ที่สุดของโลก 

              "ราเล่ย์" ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.๑๘๘๗ หรือ พ.ศ.๑๔๓๐  โดยเซอร์ แฟรงค์ โบว์เด้น (Sir Frank Bowden) ซึ่งตรงกับสมัยพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕ ของสยาม)

              เซอร์ แฟรงค์ โบว์เด้น ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นในลอนดอน ขณะเมื่อมีอายุได้เพียง ๒๔ ปี และเป็นนักกฎหมายที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ท่านมีอายุได้ ๓๘ ปี ก็เริ่มขี่จักรยานเพื่อออกกำลัง โดยการแนะนำของแพทย์ว่าจะเป็นการดีต่อสุขภาพ และท่านก็ประทับใจในการขี่จักรยานนี้มาก 

               ต่อมาไม่นานท่านจึงได้ตกลงใจซื้อกิจการจักรยานมาจากกลุ่มผู้ประกอบการชาวอังกฤษและฝรั่งเศส (Messrs.Woodhead, Angois และ Ellis) ท่านได้ตั้งฐานการผลิตมาที่ถนนราเล่ย์ เมืองน็อตติ้งแฮม (Raleigh street, Nottingham) ซึ่งเป็นตำนานและเป็นปฐมบทอันก้องโลกของ "จักรยานราเล่ย์"

              การผลิตของ "ราเล่ย์" ซึ่งเดิมผลิตได้สัปดาห์ละ 3 คันเท่านั้น ได้เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ขยายไปที่อาคารสี่ชั้นย่านถนนรัสเซล และภายใน ๖  ปี "ราเล่ย์" ก็กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตจักรยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขยายโรงงานมาตั้งที่ย่านถนนฟาราเดย์ เลนตัน น็อตติ้งแฮม

ภาพความทรงจำ " พงษ์ภาพ "

           ปานทิพย์ จูมศรี...เรื่องและภาพ

           ร้านถ่ายรูป พงษ์ภาพ ได้ตั้งอยู่บนถนนพานิช หรือชาวแปดริ้วเรียกถนนนี้ว่า " ซอยหมอ " ร้านนี้ได้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า ๔๙ ปี ร้านพงษ์ภาพแห่งนี้ได้มีการถ่ายรูปบุคคลต่างๆ เช่น ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ครู พระภิกษุ รวมถึงท่านผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายจาด อุรัสยะนันทน์ ท่านก็ได้เคยมาถ่ายรูปในร้านนี้ด้วย 
           จากการสอบถาม คุณตาเจ้าของร้านได้กล่าวว่า "ร้านนี้ตั้งแต่เปิดให้บริการมากว่า ๔๙ ปี ไม่เคยมีการซ่อมแซมร้านหรือทำขึ้นใหม่ เรายังคงทุกอย่างไว้ดังเดิม เพื่อคนที่เข้ามาดูหรือมาใช้บริการ จะได้นึกย้อนถึงวันวานเก่าๆที่เคยเกิดขึ้น ร้านของผมใช้การถ่ายรูปแบบฟิล์ม ปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ เพราะผมอยากรักษาการถ่ายรูปแบบนี้ไว้ 
           เพราะปัจจุบันนี้การถ่ายรูปแบบฟิล์มเริ่มหายไป แม้การถ่ายรูปแบบฟิลม์จะได้ภาพที่สวยและสีที่คมชัด แต่ถึงอย่างไรแล้ว กว่าจะได้รูปๆ หนึ่ง ก็ต้องใช้ระยะเวลา บางรูปอาจใช้เวลานานถึง ๑ เดือน ซึ่งต่างจากการถ่ายภาพแบบดิจิตอลที่ได้รูปที่รวดเร็วกว่า สะดวกในการใช้งาน และสีภาพที่ไม่ต่างกัน"

Monday, February 1, 2016

หมู่บ้านเหมืองแร่


กมลชนก สิงห์จันทึก...เรื่องและภาพ
รางวัลชนะเลิศการประกวด YOUTH BLOGGERS "แหล่งท่องเที่ยวใกล้บ้าน" ครั้งที่ ๑ 
ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์เยาวชนตากล้องท่องเที่ยวไทย อนุสาร อ.ส.ท. ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

ขึ้นชื่อว่าเหมืองแร่พนมทวน ทุก ๆ คนอาจสงสัยว่าสถานที่นี้มันอยู่ที่ไหนของอำเภอห้วยกระเจา แต่สำหรับฉันนั้นรู้จักเป็นอย่างดี เพราะที่นี่ก็คือหมู่บ้านของฉันเอง ฉันเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่ หมู่บ้านของฉันไม่มีถนนลาดยาง ไม่มีที่เติมเงินโทรศัพท์ ไม่มีที่เติมน้ำมัน ไม่มีไวฟายใช้ แต่สิ่งที่ที่อื่นไม่มีเหมือนหมู่บ้านของฉันก็คือภูเขาลูกโต ๆ ที่อยู่รอบ ๆ หมู่บ้าน ต้นไม้ใบหญ้า ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอ และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ  บ่อน้ำเขียว “ หากทุกคนสงสัยว่าคืออะไร ก็ตามมาเลย


จากที่ได้เอ่ยมาข้างต้น ทุกคนอาจคิดว่า “ บ่อน้ำเขียว “ คงจะเป็นบ่อกลม ๆ และมีน้ำสีเขียว หากเพื่อน ๆ คิดแบบนี้ก็เกือบจะถูกแล้ว เพราะว่าบ่อน้ำเขียวนั้นมีสีเขียวจริง แต่ไม่เป็นวงกลม และที่เรียกว่าบ่อน้ำเขียวนั้น  คนเฒ่าคนแก่ที่หมู่บ้านของฉันได้เล่าว่าแต่ก่อนเป็นเหมืองแร่ มีคนมาทำงานกันมากมาย เลยมีการขุดเจาะแร่โดยใช้ระเบิด ก็ระเบิดกันทุก ๆ วัน จนนานเข้า ก็กลายเป็นบ่อขนาดใหญ่ คนเฒ่าคนแก่บอกว่ามันลึกมากขนาดที่ยืนอยู่ด้านบนแล้วมองลงไปด้านล่างเห็นรถสิบล้อเป็นคันนิดเดียว  พอเวลาผ่านไปเหมืองแร่ก็ไม่มีแร่ทำ และเลิกทำไปในที่สุด หลุมที่พวกเขาระเบิดลงไปหาแร่ก็ถูกเติมเต็มด้วยน้ำ และที่น้ำเป็นสีเขียวก็เป็นเพราะว่ามีแร่อยู่เป็นจำนวนมากในบ่อน้ำนั้น


นอกจากภูเขาลูกโต ๆ ที่ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด ในหมู่บ้านของฉันนั้นก็ยังมี “ศาล” หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนมักจะเรียกกันว่า “ศาลเจ้าพ่อเขาแดง ”  หรือเรียกสั้นๆก็คือ “พ่อปู่”  ที่เรียกว่าว่าเจ้าพ่อเขาแดงเพราะภูเขาที่อยู่ด้านข้างเป็นสีแดง ในสมัยก่อนแม่ขอฉันบอกว่าช่วงเดือน ๙  ขึ้น ๙ ค่ำ  จะมีงานมาถวายให้พ่อปู่เสมอ และศาลพ่อปู่นี้ก็มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปีได้ แต่ศาลที่นี้ไม่ได้แม่นหวย แต่ศักดิ์สิทธิ์ในการบนขอไม่ให้ถูกทหาร ช่วงเดือนเมษายนจะมีคนต่างมาบนขอพ่อปู่ไม่ให้ถูกทหารกันมากมาย แต่การบนก็มีข้อจำกัดนะ คนที่จะมาขอจะได้แค่  ๔ คนเท่านั้น ดังนั้นหากใครสนใจก็แวะมาได้นะ


หมู่บ้านของฉันขึ้นชื่อว่ามีต้นไม้เยอะ ก็ต้องมีต้นไม้ที่มีอายุที่มาก นั่นก็คือต้นยางอินเดีย มันมีอายุประมาณ ๑๐๐ ปีได้ มีเพียง ๒ ต้นเท่านั้น และต้นไม้ที่อยู่ข้างเคียงก็มีอายุที่ไม่ต่างกัน ก็คือต้นไม้สามกษัตริย์ได้แก่ ต้นแจง ต้นตะแบก  ต้นป้าว  นอกจากนี้หมู่บ้านของฉันยังมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย


ฉันภูมิใจและดีใจที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ถึงจะไม่มีอะไรที่สะดวกสบาย แต่ถ้าหากให้ย้อนเวลากลับไปฉันก็ยังคงเลือกที่จะอยู่ที่นี่เช่นเดิม